กรณีฉ้อโกงต้องการเอกสารดำเนินคดีทางกฎหมายทำอย่างไร       การสร้าง สินค้าแฟชั่น สู่สินค้าแฟชั่นแบรนด์เนม ความรู้ที่ได้จากชุมชน SBN บทที่1       สมาชิกเก่า สมาชิกใหม่ อ่านหรือยัง สำคัญมากครับ <--"คลิ๊กที่นี่"             

valentino

นายแพทย์ อับราฮัม เวอร์กีซ

Rate this Entry
[COLOR=#1f1000][B] นายแพทย์ อับราฮัม เวอร์กีซ (Abraham Verghese) แรงบันดาลใจจากพระเจ้าในงานเขียน[/B]

อังคาร, 03/30/2010 - 05:46 — boyniwat
คุณหมอผู้ได้แรงบันดาลใจทุกรายละเอียดจากพระเจ้า [COLOR=#c00000]"พระเจ้าอยู่ในทุกรายละเอียด"
พระเจ้าของผมจึงอยู่ทั้งในการไปอบรมการเขียน และการเป็นหมอ" [/COLOR]นัก เขียนเกิดขึ้น ได้ด้วยหัวใจที่แสวงหา ไม่ว่าจะมีอาชีพใด อยู่แห่งหนใด วรรณะไหน หากมีความมุ่งมั่น บุคคลนั้นย่อมพยายามไปสู่จุดหมาย โดยไม่ย่อท้อ
ดังเช่น นาย แพทย์ อับราฮัม เวอร์กีซ (Abraham Verghese) นักเขียนเชื้อสายอินเดีย ซึ่งสวมเสื้อกราวด์สีขาวในฐานะแพทย์ และอีกมือถือปากกาหรือดินสอในฐานะนักเขียน
[IMG]http://www.weareimpact.com/files/news_img_107563_1.jpg[/IMG]อับ ราฮัม มีบิดาและมารดาเป็นชาวอินเดีย เขาเกิดและเติบโตมาในประเทศเอธิโอเปีย ศึกษาแพทยศาสตร์เบื้องต้นที่ประเทศบ้านเกิด จากนั้นไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกาในสาขาวิชาเดิม [COLOR=#bf005f]ผล งานสองเล่มแรกเป็นบันทึกความทรงจำ My Own Country : A Doctor's Story (1994) ติด 1 ใน 5 หนังสือดีที่สุดแห่งปีของนิตยสารไทมส์ และมิร่า แนร์ [/COLOR]ผู้ กำกับหญิงชาวอินเดียนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ ผลงานเล่มต่อมาคือ The Tennis Partner : A Story of Friendship and Loss (1998) ส่วน Cutting for Stone เป็นผลงานนวนิยายเล่มแรกที่ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2009 ปัจจุบันอับราฮัมเป็นอาจารย์สอนนักศึกษาแพทย์ ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา
หนังสือสองเล่มก่อนหน้าที่คุณเขียนเป็นสารคดี และคุณก็พูดเองว่าตัวเองเป็นนักเขียนนวนิยายตั้งแต่แรก ตอนนี้เป็นมายังไง?

ผมหลงรักการเขียนนวนิยายมาแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว โดโรธี อัลลิสัน ให้คำจำกัดความของนวนิยายเอาไว้ว่า การโกหกตัวเอ้ที่เผยให้ผู้อ่านได้รู้เรื่องจริงบนโลก นี่จึงเป็นที่มาว่าทำไมผมสอนนักศึกษาแพทย์ด้วยการให้พวกเขาอ่าน The Death of Ivan Ilych งานเขียนของตอลสตอย เพื่อให้พวกเขาเข้าใจชีวิตและ Bastard out of Carolina เพื่อช่วยให้นักเรียนเข้าใจเรื่องการกระทำทารุณเด็ก ตำราเรียนให้ความจริงและความเข้าใจแก่พวกนักศึกษาในอีกรูปแบบหนึ่ง
แต่การเข้าใจผ่านนวนิยาย หรือเรื่องแต่งก็พาพวกเขาไปสู่จุดหมายเช่นกัน เรื่องสั้นเรื่องแรกของผมที่ได้ตีพิมพ์คือ "Lilacs" ตัวเอกติดเชื้อเอชไอวี ตีพิมพ์ใน The New Yorker เมื่อปี 1991 เรื่องสั้นเรื่องนี้มีส่วนผลักดันให้ผมเขียน My Own Country บันทึกความทรงจำกับช่วงเวลาหลายปี ที่ได้ดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ชนบทของ เทนเนสซี ระหว่างเขียนงานเล่มนี้ ผมค้นพบตัวตนว่าผมมีชีวิตอยู่ท่ามกลาง ความทุกข์และความสูญเสียของเพื่อนร่วม โลก จึงกลายเป็นที่มาของสารคดีเล่มที่สอง The Tennis Partner พอเขียนเล่มนี้จบ ผมก็ตั้งใจจะเขียนงานเล่มที่สามในรูปแบบนวนิยาย

[IMG]http://www.weareimpact.com/files/images/news_img_107563_3.jpg[/IMG]
ปี 1990 คุณไปเรียนด้านการเขียนที่ไอโอว่าอะไรกัน ที่ทำให้คุณตัดสินใจเรียนการเขียน ทั้งที่คุณเองกำลังจะประสบความสำเร็จด้านอาชีพแพทย์ ?
ตอนนั้นผมอยู่ที่จอห์นสันซิตี้ เทนเนสซี และฝึกงานอยู่ในโรงเรียนแพทย์ขนาดเล็ก ช่วงปี 1985, 1990 ผมได้เจอผู้ป่วยเอดส์จำนวนมาก และเป็นโรคที่น่ากลัว ผมไม่เคยเจอโรคนี้ในชุมชนเล็กๆ มาก่อน ผมได้ใกล้ชิดกับผู้ป่วยจำนวน 100 คนในทันทีที่อยู่ในเมืองซึ่งมีประชากรราว 5 หมื่นคน เหมือนที่ผมเขียนไว้ใน My Own Country มันเป็นช่วงที่เครียด เสียใจ หัวใจสลาย พวกเราไม่มีแม้แต่นักบำบัดที่แท้จริง และหลายคนก็อคติและรังเกียจผู้ติดเชื้อ แต่ความกล้าและอยากเป็นวีรบุรุษมีมากกว่า ที่แม้ไม่มียารักษา
แต่ผมก็เริ่มออกไปพบผู้ป่วยตามบ้าน ทำให้ผมรู้ว่า ในยามที่ผมไม่มีอะไรจะเยียวยาพวกเขา แต่ผมก็มีทุกอย่างที่จะให้พวกเขาได้ มันต่างกันมากระหว่างการรักษาและความเอาใจใส่ ซึ่งอย่างแรกเป็นสิ่งที่ชาวตะวันตกเป็น ผมรู้ว่าผมเยียวยาผู้ป่วยได้ แต่ผมแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้ ผมหมายความว่าความสนใจ และการให้กำลังใจจะช่วยให้ผู้ป่วย และครอบครัวของเขา ติดเชื้อและตายในที่สุดอยู่ดี แต่ปีที่ห้าที่ผมได้ทำแบบนี้ ด้วยวิธีการช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ มันทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ถ้าผมต้องการอยู่ให้ได้เพื่อต่อต้านสงครามเอดส์ และผมต้องทำให้ได้ด้วยตัวเองเพื่อหยุดมัน
ผมเริ่มเขียนเรื่องสั้นหลายเรื่องและบทความมากมาย ตอนที่เสียสติไปกับสิ่งตึงเครียดในแต่ละวัน ผมจึงตัดสินใจสมัครเรียนการเขียนที่ไอโอวา โดยส่งเรื่องไปสองเรื่อง ถ้าเขาเลือกผม ผมจะไปเรียน ถ้าไม่ ผมก็จะหยุดตัวเองกับการเขียน และทำงานเลี้ยงครอบครัวด้วยการอยู่ในห้องฉุกเฉิน ในที่สุดเขารับและผมก็ไปเรียน ผมรู้ว่าผมเห็นแก่ตัว ถ้าผมมองย้อนกลับมายังภรรยาและลูกเล็กๆ อีกสองคน แต่ผมก็ต้องการสั่งสม และผมคงต้องอกระเบิดแน่ถ้ายังต้องทำงานแบบเดิม
พอไปที่ไอโอวา ผมก็ทำงานในคลินิกเอดส์ของมหาวิทยาลัยสัปดาห์ละครั้ง ทำให้ผมมีเวลาในการอ่านและเขียน เป็นเวลาอันล้ำค่ามาก ผมไม่เคยคิดว่าผมจะมีเวลาแบบนี้ด้วยซ้ำไป ผมจึงตั้งใจกับการเรียนเขียน และเมื่อจบออกมาผมก็ต้องการทำงานแบบเดิม และไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเขียน เพราะผมต่างหากคือผู้ที่กุมและจัดการเวลา ไม่ใช่อาชีพประจำที่ผมทำอยู่เป็นอุปสรรค
[IMG]http://www.weareimpact.com/files/images/news_img_107563_2.jpg[/IMG]
อะไรที่ทำให้คุณตัดสินใจเขียน Cutting for Stone ?

[URL="http://www.bangkokbiznews.com/"][/URL]
[/COLOR]
Tags: None Add / Edit Tags
Categories
Uncategorized

Comments

  1. valentino's Avatar
    ผมตั้งปณิธานเอาไว้ว่าต้องการถ่ายทอดเรื่องราว ของความจริงสมัยก่อนให้ดี ที่สุด นอกเหนือจากนี้ผมต้องการ ถ่ายทอดมุมมองของวิชาแพทยศาสตร์ที่ถูกรายการ โทรทัศน์นำเสนอไม่ครบถ้วนและหลายส่วนถูกกลบฝังเอาไว้ เพื่อให้เห็นว่าผู้ป่วยมีความต้องการอยากรับการรักษาแค่ไหน และภาพของแพทย์ก็ไม่ใช่การนั่งมองจอมอนิเตอร์เพียงอย่างเดียว ผมเริ่มเขียนและนึกภาพภารกิจของโรงพยาบาลในแอฟริกา ผมอยากให้คนอ่านเห็นภาพอันแสนธรรมดา ของโรงพยาบาลที่ไม่มีการแบ่งแยกระหว่าง หมอกับผู้ป่วย ไม่ถูกกั้นระหว่างกันด้วยเทคโนโลยีหรือความรู้ที่แตกต่างกัน สิ่งที่พวกเขาเห็นร่วมกันคือความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานในความเป็นมนุษย์ ผมต้องการให้งานเขียนของผมเป็นยาสมานและรักษาผู้คน
    ตัวละครแต่ละคนในนวนิยาย Cutting for Stone มีบุคลิกที่แตกต่างกันด้วยเหตุผลต่างกันไป อะไรที่ทำให้คุณเป็นหมอ ?

    ผมเป็นลูกคนกลางในจำนวนพี่น้องสามคน พ่อและแม่เป็นชาวอินเดียที่สอนวิชาฟิสิกส์ในมหาวิทยาลัย พี่ชายของผมฉลาดเกินวัยและเก่งด้านตัวเลข ส่วนผมไม่มีหัวด้านนี้เลย ครอบครัวชนชั้นกลางของพวกเรามี 3 อาชีพให้เลือกได้แก่ หมอ, วิศวกร และนักกฎหมาย พี่ชายของผมประกาศตัวว่าอยากเป็นวิศวกร ซึ่งพ่อและแม่ผมปลื้มมาก ตอนเป็นเด็กผมไม่ชอบเห็นไก่ถูกเชือดหรือแพะถูกฆ่า แต่ผมชอบดูสัตว์คลอดลูก นี่อาจทำให้ผมเข้าใจว่าคือการเป็นหมออีกรูปแบบหนึ่ง และผมก็มารู้ว่าการเป็นหมอคือยังไง
    ผมได้อ่านหนังสือหลายเล่ม เช่น Of Human Bondage งานเขียนของ Somerset Maugham อ่าน Lolita และ Lady Chatterley's Lover ตอนอายุ 12 ปี ฟิลลิปในเรื่อง Of Human Bondage เดินทางออกจากปารีสเพื่อไปเป็นศิลปินด้วยเงินจำนวนจำกัด และอดอยากปากแห้ง จนเขาค้นพบว่าไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้ เขาผิดหวังและกลับไปที่ลอนดอนเพื่อศึกษาต่อที่โรงเรียนการแพทย์ หลายปีต่อมาเขาได้พบกับคนป่วยนอกคนหนึ่งของคลินิกเป็นครั้งแรก และเขารู้ว่าที่เลือกมาทางนี้ถูกต้องแล้ว ความคิดนี้ก็สิงอยู่กับผมตลอดมา ทำให้ผมได้คิดว่ายังมีเพื่อนมนุษย์ผู้ทุกข์ทนอยู่ตรงนั้น สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเพื่อนมนุษย์ทำให้ศิลปินผลิตงานออกมา และสิ่งที่ฟิลลิปได้พบเห็น ก็ทำให้เขารู้สึกถึงฐานะของการเป็นศิลปินได้เช่นกัน
    ความทุกข์ยากของเพื่อนมนุษย์ กึกก้องอยู่ในหัวของผมเมื่ออายุ 12 ปี ผมคิดว่าถ้าพระเจ้าไม่ได้ประทานพรสวรรค์การเป็นศิลปินมาให้ การเป็นหมอก็ช่วยคนได้เช่นกัน และน่าจะเป็นอีกอาชีพที่ดีไม่น้อย การเป็นหมอต้องได้ไปข้องแวะกับชาวบ้าน ได้เห็นความทุกข์ยากของมนุษยชาติ หมอหลายคนไปเป็นหมอเพราะพวกเรา ต่างมีบาดแผลในใจของตนเองไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
    ในทางกลับกันการเป็นหมอช่วยส่งเสริมอะไรคุณบ้างในการเป็นนักเขียน ?

    การเป็นหมอมีส่วนช่วยให้ผมทำงานเขียนได้อย่างมาก แต่ผมไม่เคยห้อยท้ายในการทำงานเขียนว่าผมเป็นนายแพทย์ นอกจากจะใช้ในการเขียนตำราหรือเขียนหนังสือที่เกี่ยวกับทางการแพทย์ การเขียนหนังสือยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวงาน ของมันเองอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ ผมยอมรับว่าการเป็นหมอทำให้ผมเข็นนวนิยาย และงานเขียนออกมาได้ การเขียนและการเป็นหมอเหมือนกับทางคู่ขนาน ผมได้ยินคำพังเพยที่ว่า "พระเจ้าอยู่ในทุกรายละเอียด" พระเจ้าของผมจึงอยู่ทั้งในการไปอบรมการเขียน และการเป็นหมอ พอผมพบผู้ป่วย ผมได้ประวัติศาสตร์ และในคำว่าประวัติศาสตร์ก็มีคำว่าเรื่องราว ซ่อนอยู่ (history ประวัติศาสตร์ story เรื่องราว) ไม่มีทางลัดในการเขียน เพราะมันเป็นงานที่ไม่ง่าย และศิลปะในการประพันธ์คือการแก้ไขขัดเกลางานเขียน พรสวรรค์ที่เกิดขึ้น มีอยู่ในความไม่ระย่อที่จะแก้ไขงานให้เป็นที่พอใจตัวเอง ซึ่งใช้เวลาหลายปีกว่าได้ดั่งใจตัวเอง
    คุณถ่ายทอดภาพของโรง พยาบาลในเอธิโอเปียได้อย่างเห็นภาพ มันเห็นทั้งความงามและความยากจนในเวลาเดียวกัน ทำไมถึงตัดสินใจใช้ฉากเป็นประเทศเอธิโอเปีย บรรยากาศของสถานที่ต่างๆ ในเรื่องมีผลต่อคุณเช่นไรบ้าง ?

    ถึงผมจะมองเห็นทุกภาพ แต่ผมคิดว่านวนิยายถ่ายทอดความรู้สึก ของสถานที่ได้ดีกว่าสื่อกลางอื่นๆ ซึ่งจะเห็นได้จากการเขียนของ Somerset Maugham ที่ทำได้อย่างดี มีไม่กี่ภาพที่ผมถ่ายทอดให้เห็นถึงสงครามและความอดอยาก ผมต้องการบอกเล่าความรักที่ผมมีต่อดินแดนและผู้คนที่นี่ เพราะพวกเขามีความงดงามและจิตใจดีอย่างไม่น่าเชื่อ รวมถึงอุปนิสัยที่น่ารัก
    นอกจากนี้ผมอยากสื่อสารให้ผู้อ่านได้เห็นว่า คนเก่าคนแก่ของที่นี่รู้สึกสูญเสีย เมื่อต้องหลีกทางให้กับสิ่งใหม่ที่ย่าง กรายเข้ามา เอธิโอเปียบอบช้ำมาเนิ่นนานหลายปี จากการอยู่ใต้การปกครองของชายที่ชื่อเม็ง กิสตูที่ขึ้นสู่อำนาจ เขามีรัสเซียและคิวบาหนุนหลังอยู่ การเรียนแพทย์ของผมต้องสะดุดลงเพราะชายผู้นี้ จนผมต้องระเห็จไปอยู่ที่ต่างประเทศ มันเป็นช่วงเวลาของความรู้สึกแห่งการสูญเสียของผมเลยทีเดียว เพื่อนนักเรียนแพทย์หลายคนผันตัวเองไปเป็นสมาชิกกลุ่มใต้ดิน เพื่อล้มล้างรัฐบาล บางคนเสียชีวิตในการเรียกร้องและต่อสู้ หลายคนต่อสู้เรียกร้องยืดเยื้อมาเป็นเวลาถึง 20 ปี และในที่สุดพวกเขาก็โค่นเผด็จการคนนี้ลงได้ ผมมาสำเร็จด้านแพทยศาสตร์ที่อินเดีย แต่สิ่งที่ผมได้มาเทียบไม่ได้กับที่เพื่อนๆ ได้รับเลย เพื่อนๆ ที่ยอมตายเพื่อกำจัดเผด็จการ
    คุณจะทำอะไรต่อไป คุณยังคงจะฝึกฝนทั้งการเป็นหมอและนักเขียนในคราเดียวกันแบบนี้ หรือว่ามีงานอะไรสำหรับอนาคตบ้าง?

    ผมรวบรวมเรื่องสั้นที่พิมพ์อยู่ตามหน้านิตยสารต่างๆ และหลังจากพักมาบ้างแล้วช่วงหนึ่ง ผมอยากเขียนนวนิยายอีกเล่ม ผมมีประสบการณ์มาจากเล่มแรก จึงไม่อยากให้ประสบการณ์นั้นสูญเปล่า ยังคงเขียนบทความให้กับ Wall Street Journal และ New York Times Magazine ต่อไป และอยากเขียนให้สม่ำเสมอถึงแม้จะอยู่ระหว่างการเขียนนวนิยายก็ตามที
    ผมจะเป็นหมอจนวาระสุดท้ายของลมหายใจ และจะไม่ทำให้คนป่วยผิดหวัง ผมหวังว่าจิตใจและสภาพร่างกาย ของผมจะแข็งแรงเพื่อปฏิบัติภารกิจเหล่านี้ การเป็นหมอเป็นศูนย์กลางของชีวิตผม เป็นเหมือนที่ปลอดภัย และผมไม่เคยคิดจะเลิกเป็นหมอ งานเขียนของผมเป็นสายธารที่มีต้นธารมาจากการเป็นหมอ ผมระลึกเสมอว่าสีสันต่างๆ ที่เกิดขึ้นมันก็มาจากความจริงที่ผมได้สัมผัสจากการเป็นหมอ
    และผมยังคิดเสมอว่าสิ่งที่ผมอยากได้รับมากที่สุดคือ ถ้อยคำที่เกิดขึ้นบนหน้ากระดาษ มากกว่าหนังสือรับรองหรือการลาพักร้อนของนักเขียน
    บทความจาก : http://www.bangkokbiznews.com