valentino
คำพยาน นท.นพ. ภากร จันทนมัฎฐะ
by
, 20-09-10 at 23:24 (9801 Views)
[COLOR=#1f1000][B] คำพยาน นท.นพ. ภากร จันทนมัฎฐะ[/B]
ข้าพเจ้าเป็นคริสเตียนคนเดียวในครอบครัว เป็นคริสเตียนคนเดียว ท่ามกลางผู้คน ที่ไม่รู้จักพระเจ้า ทั้งที่บ้าน และที่ทำงาน ข้าพเจ้าเพิ่งรับเชื่อมาได้ประมาณ 3 ปี การมาพบพระเจ้าของข้าพเจ้า ไม่ได้ตื่นเต้นเท่าไรนัก แต่หลังจาก ได้รู้จักพระองค์แล้ว ข้าพเจ้าได้ทราบว่า พระองค์คือคำตอบ ของสิ่งที่ข้าพเจ้าค้นหา มาเป็นเวลานาน
[IMG]http://www.weareimpact.com/news/data/upimages/testimony012_01.jpg[/IMG]
การแสวงหาพระเจ้าของข้าพเจ้านั้น เกิดขึ้นจากสาเหตุหลักๆ 2 ประการ
1. ประการแรก คือ เนื่องด้วยอาชีพของข้าพเจ้า ที่เป็นแพทย์โรคหัวใจ ทำให้ข้าพเจ้า ได้มีโอกาส ใกล้ชิดกับ ความตาย ข้าพเจ้าตระหนักดีว่า ความตาย เป็นเพชฌฆาต ที่แม่นยำที่สุด อดทนที่สุด เหนือความคาดเดามากที่สุด ไม่เคยมีเหยื่อคนใด ที่รอดพ้นไปได้เลย และเมื่อเพื่อนสนิทของข้าพเจ้า ต้องจากไปอย่างกระทันหัน ด้วยวัยอัน ไม่สมควร คนแล้วคนเล่า ก็ยิ่งเตือนให้ข้าพเจ้าทราบว่า ความตายอยู่ใกล้ แค่นี้เอง อยู่ภายใต้เท้าของเราทุกคน และไม่มีอะไร เป็นเครื่องรับประกันว่า จะยังคงมีพรุ่งนี้สำหรับเราแต่ละคน
ข้าพเจ้าได้ดูแลผู้ป่วยใกล้ตายทั้งคนธรรมดาสามัญ ไปจนถึงเชื้อพระวงศ์ ทั้งคนยากจนไปจนถึงมหาเศรษฐี ฐานะเงินทองไม่ได้ช่วยให้คนใกล้ตายยอมรับความจริงของชีวิต ตรงข้าม ยิ่งบุคคลที่โลกนี้ยกย่องว่า เป็นผู้ประสบ ความสำเร็จ กลับยิ่งทุรนทุรายต่อความตาย
ข้าพเจ้าทราบดีว่าสักวันข้าพเจ้าต้องมาถึงจุดนี้ ต้องติดอยู่กับเครื่องช่วยหายใจ สายระโยงระยาง เครื่องช่วยพยุงชีวิตอีกมากมาย ข้าพเจ้าถามตนเองว่า เมื่อวันนั้นก้าวย่างมาถึงจริงๆ ข้าพเจ้าจะเอาอะไร เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ และรับประกันว่า ข้าพเจ้าเอง จะเผชิญหน้ากับความตาย อย่างสงบ ใช้เวลาช่วงสุดท้ายในโลกนี้อย่างมีความสุข และจะผ่านไปโลกหน้าอย่างมั่นใจ
2. ประการที่สอง เมื่อข้าพเจ้ารู้สึกว่า ข้าพเจ้าประสบความสำเร็จในหลายๆ ด้าน ทั้งชีวิตส่วนตัว ชีวิตการทำงาน เกียรติยศ และฐานะเงินทอง ข้าพเจ้ามีเกือบทุกอย่าง ที่คนทั่วไปบนโลกนี้อยากจะมี แต่ข้าพเจ้ายังรู้สึกเสมอว่า บางอย่างในชีวิตของข้าพเจ้า หายไป บางอย่างที่จะเติมชีวิตให้เต็ม
ข้าพเจ้าแสวงหาสิ่งต่างๆ ที่อาจเป็นคำตอบของชีวิตไปเรื่อยๆ เมื่อข้าพเจ้ามองหาสิ่งหนึ่งและได้มา ข้าพเจ้าจะ ชื่นชมอยู่สักพัก และมองหาสิ่งใหม่ๆ ที่ท้าทายต่อไป ข้าพเจ้าเริ่มมองเห็นว่า หากทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ แล้วจะหยุด แสวงหาในวันใด จะต้องเหน็ดเหนื่อย ดิ้นรนเช่นนี้ไป จนถึงวันสุดท้ายแห่งชีวิตหรือ
เดิมทีเดียว ข้าพเจ้าแสวงหาหนทางด้วยตนเอง ข้าพเจ้าพยายามเป็นคนดี รักษาศีลอย่างครบถ้วน จนวันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้รู้จักเพื่อนที่เป็นคริสเตียน เธอก้มศีรษะขอบคุณพระเจ้าในมื้ออาหาร ข้าพเจ้านึกขำในความงมงาย ของเธอ อย่างไรก็ตาม หลังจากได้พูดคุยเรื่องความเชื่อของเธอ ศรัทธาที่มั่นคง ทำให้ข้าพเจ้าต้องถามตนเองว่า ทำไมคนที่มีการศึกษาขนาดนี้จึงเชิ่อเรื่องพระเจ้า
ข้าพเจ้าบอกกับตนเองว่า เราไม่ควรบอกว่าอะไรจริงหรือไม่จริง ก่อนที่เราจะศึกษาด้วยตนเอง บางทีสิ่งนี้ อาจเป็นคำตอบที่ข้าพเจ้าตามหามานานก็ได้ ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจ ไปโบสถ์คริสเตียนครั้งแรก เมื่อประมาณ 4 ปีก่อน การตัดสินใจครั้งนั้น ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของข้าพเจ้าตลอดไป
ข้าพเจ้ายังจำวันแรกที่ไปโบสถ์ได้ คุณพ่อคุณแม่ทราบว่า ข้าพเจ้าแต่งตัวอย่างดี เนื่องจากท่านทั้งสอง เป็นนักเรียนอังกฤษ และคนอังกฤษในสมัยนั้น จะแต่งตัวอย่างดีที่สุด เพื่อไปโบสถ์ในวันอาทิตย์
ในวันนั้น นอกจากข้าพเจ้าแล้ว ยังมีผู้มาโบสถ์เป็นครั้งแรกอีกผู้หนึ่ง เป็นคนขายลูกชิ้นปิ้ง การแต่งกายของเรา สองคน ต่างกันอย่างมาก อย่างไรก็ตาม อ.ขจร ซึ่งมีหน้าที่สอนพระคัมภีร์ ในวันนั้น ได้ต้อนรับเราทั้งสองอย่าง เท่าเทียมกัน นั่งเรียนพระคัมภีร์ด้วยกัน นี่เป็นความประทับใจแรก อย่างน้อยคนของพระเจ้า ก็ไม่ได้มองคน ที่ฐานะ ไม่ได้ให้ความสำคัญของมนุษย์แบบที่โลกนี้มอง ข้อพระคัมภีร์ที่ใช้สอนในวันนั้น คือ
"เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในเขา
ผู้นั้นก็จะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้ว ท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย" [ยอห์น 15:5]
ข้าพเจ้าไม่เชื่อพระคัมภีร์ข้อนี้แม้แต่น้อย ข้าพเจ้ามีชีวิตมา 30 ปี ประสบความสำเร็จมากมาย โดยไม่รู้จัก พระเจ้า ขณะนั้นข้าพเจ้ารู้สึกว่า อ.ขจร และพวกที่โบสถ์ คงจะเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง ด้วยความรู้สึกว่า อ.ขจร เป็นคนดี และอยากช่วยอาจารย์ พ้นจากความงมงาย ข้าพเจ้าตั้งใจจะเปลี่ยนความเชื่อของท่าน และมีอยู่วิธีเดียว ที่จะทำได้ คือต้องพิสูจน์ให้ อ.ขจร เห็นว่า พระคัมภีร์ไม่จริง
ข้าพเจ้าจึงลงมือศึกษาพระคัมภีร์อย่างจริงจัง เพื่อจับผิด และอ่านหนังสือประกอบอีกมากมาย ทั้งที่เขียน โดยคนที่เชื่อ และไม่เชื่อในพระเจ้า ข้าพเจ้ากลับค้นพบว่า หนังสือมหัศจรรย์ ที่รอดพ้นการทำลาย ครั้งแล้ว ครั้งเล่าเล่มนี้ ได้เปิดเผยเรื่องราวความจริง ที่ข้าพเจ้าเฝ้าค้นหามาตลอด
ในแง่ประวัติศาสตร์ พระคัมภีร์ได้บันทึกถึงเมืองโบราณต่างๆ
ก่อนหน้าปี 1850 ผู้คนรู้จัก อัสซีเรีย จากพระคัมภีร์เท่านั้น ต้องขอบคุณนักโบราณคดี 2 ท่าน คือ Austin Henry Layard และ Hormuzd Rassam ผู้เผยวันเวลาที่หายไป ของชาวอัสซีเรีย กลับมาให้ชาวโลก ได้ประจักษ์
และเมือง Ur อันเก่าแก่ ถูกค้นพบในปี 1912 หลังจากสูญหายไปจากประวัติศาสตร์โลกกว่า 6500 ปี ในช่วงเวลานั้น มีเพียงพระคัมภีร์เท่านั้นที่ยืนยันการมีอยู่จริงของเมือง Ur
การขุดค้นเมือง เยรีโค เมื่อไม่นานมานี้ (1930) พบว่า กำแพงเมืองที่แข็งแรง และหนามากของเมือง ได้พังทลายลงโดยแบะออกตรงตามพระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ นอกจากนี้ ยังพบธัญพืชจำนวนมาก บรรจุอยู่ใน ภาชนะในสภาพที่เกือบเต็ม อันแสดงว่า เมืองดังกล่าวอยู่ในสภาวะสงครามในช่วงสั้นๆ เท่านั้น ซึ่งตรงตามพระคัมภีร์ ที่กล่าวว่า เยรีโคถูกล้อมอยู่เพียง 7 วัน และชาวยิวที่เอาชนะเมืองนี้ได้ ไม่ได้แตะต้องสมบัติในเมืองจริงๆ (ในสมัยนั้นธัญพืชถือว่าเป็นสมบัติที่มีค่ามาก เนื่องจากใช้เป็นอาหาร และเป็นพันธุ์เพื่อการหว่านในปีต่อๆ ไป)
นอกจากนี้ยังมีการค้นพบเมืองโสโดม โกโมราห์ นีนะเวห์ และอื่นๆ ข้าพเจ้าพบว่า พระคัมภีร์ เป็นหนังสือ ประวัติศาสตร์ ที่น่าเชื่อถือมากที่สุดเล่มหนึ่ง
ทางด้านการแพทย์ แม้ข้าพเจ้าเป็นนักเรียนแพทย์ ข้าพเจ้ารู้สึกอัศจรรย์ต่อร่างกายมนุษย์ สัตว์ที่ยืน 2 ขา ตัวตรงชนิดเดียวในโลก สิ่งนี้ ต้องแลกด้วยการออกแบบ กระดูกเชิงกรานใหม่ เพื่อให้รับน้ำหนักได้ ขณะเดียวกัน ต้องมีลักษณะพิเศษ เพื่อให้ผู้หญิง สามารถคลอดบุตรได้ สมองส่วนควบคุมการทรงตัว ต้องมีประสิทธิภาพสูง ระบบประสาทอัตโนมัติ ต้องแม่นยำ เพื่อรักษาอัตราไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงสมองให้คงที่ ไม่ว่ามนุษย์ จะอยู่ ในท่านั่ง นอน ยืน และวิ่ง
จะเห็นว่า เฉพาะเรื่องการยืน 2 ขาอย่างเดียว ก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากแล้ว การใช้มือ การใช้ภาษา การใช้ เหตุผล อารมณ์ ก็มีเพียงมนุษย์ที่มีความสามารถอย่างซับซ้อน ข้าพเจ้าคิดเสมอว่า ธรรมชาติช่างเก่งกาจจริงๆ ที่สร้างสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนเช่นนี้ได้ แต่พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์
ตอนแรกข้าพเจ้าไม่เชื่อเรื่องนี้ จนข้าพเจ้าได้อ่าน From Nothing to Nature ซึ่งเขียนโดย ศาสตราจารย์ ท่านหนึ่ง ซึ่งไม่เชื่อพระเจ้า ท่านพยายามสร้างรหัสพันธุกรรมพื้นฐานง่ายๆ จากอนินทรีย์สาร โดยให้สภาวะแวดล้อม ที่เหมาะสมที่สุด ทั้งอุณหภูมิ ความชื้น ความเป็นกรด-ด่าง ประจุไฟฟ้า หลังจากการทดลอง 20 ปี ท่านล้มเหลว ในการเปลี่ยนอนินทรีย์สาร ให้เป็นอินทรีย์สาร
ท่านสรุปว่า เป็นไปได้ที่จะบอกว่า มนุษย์เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่จะง่ายกว่ามากถ้าจะบอกว่า ใครบางคนได้สร้างมนุษย์ขึ้นมา ท่านได้ยกตัวอย่างประกอบว่า ถ้าเราพบลูกบอลสีแดงในสนามหลังบ้าน แล้วท่านบอกเราว่า มันเกิดขึ้นเอง โดยมีมะพร้าวลูกหนึ่ง ถูกแมลงเจาะจนเป็นรู หลังจากนั้น มะพร้าวลูกนั้น กลิ้งไป ใต้ต้นยางพารา บังเอิญกิ่งยางหัก น้ำยางจึงไหลลงมาในรูนี้พอดี ฝุ่นสีแดงก็ตกลงไปผสมกับน้ำยาง แล้วมะพร้าว ลูกนี้กลิ้งออกมา และนกคาบมาทิ้งไว้ที่สนามหน้าบ้าน เราคงไม่เชื่อ เราคงบอกว่า ใครบางคนเอามันโยนไว้
ทำนองเดียวกัน รหัสพันธุกรรมของมนุษย์ ซึ่งประกอบด้วยรหัสพื้นฐานเพียง 4 ชนิด (A,T,C,G) ต้องเรียง สลับไปมาอย่างถูกต้อง โดยผิดไม่ได้แม้แต่ตัวเดียว กว่า 15,000 ล้านรหัส ยากที่จะบอกว่า เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ใครบางคนที่มีความสามารถเป็นเลิศเป็นผู้สร้างมนุษย์ขึ้นมา
คำพยากรณ์ต่างๆ ในพระคัมภีร์ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องจำนนต่อพระเจ้า พระคัมภีร์เดิม ได้พยากรณ์ ล่วงหน้าถึง การมาบังเกิดขององค์พระเยซูคริสต์อย่างถูกต้อง
ตอนแรกข้าพเจ้าไม่เชื่ออีกเช่นเคย โดยคิดว่า ผู้คนได้เขียนพระคัมภีร์เดิม หลังจากพระเยซูมาบังเกิดแล้ว แล้วทำเป็นว่า พยากรณ์ถึงการมาขององค์พระเยซูคริสต์ เพื่อให้ดูศักดิ์สิทธิ์ แต่การพบ พระคัมภีร์เดิม ในถ้ำ คุมราน โดยเด็กเลี้ยงแกะ ในปี 1947 และการทดลองคาร์บอน 14 พบว่า พระคัมภีร์เดิมดังกล่าวมี อายุเก่าแก่ ก่อนยุคสมัยพระเยซูจริง ทำให้ข้าพเจ้าต้องเชื่อว่า พระคัมภีร์เดิมได้พยากรณ์ไว้ล่วงหน้าจริง
แต่น่าตื่นเต้นที่สุดคงเป็น การกลับมา ตั้งประเทศอิสราเอลได้ใหม่ สมดังคำทำนายในปี ค.ศ. 70 หลังจาก ที่มั่นแห่งสุดท้าย ของชาวยิว ที่ป้อมมาซาดาพ่ายแพ้ต่อโรมัน ชาวยิวก็กระจัดกระจายไปทั่วโลก และถูกฆ่าล้าง เผ่าพันธุ์หลายครั้ง ทั้งในสมัยกลาง ที่กาฬโรค คร่าชีวิตคนยุโรปถึง 2 ใน 3 (คนยุโรปโทษว่า ชาวยิวเป็นต้นเหตุ แห่งความชั่วร้าย จึงสังหารชาวยิวไปมากมาย) ในสมัยของพระราชินีฮัวน่า และในสงครามโลกครั้งที่สองที่ยิวกว่า 6 ล้านคน ถูกสังหาร ในค่ายกักกัน ของนาซี ในที่สุดชนชาติที่ไร้แผ่นดินอยู่ และถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หลายครั้ง หลายครา ได้กลับมาตั้งประเทศอิสราเอลขึ้นใหม่ในวันที่ 15 พฤษภาคม 1948 ณ แผ่นดินคานาอัน ที่พระเจ้ายกให้ เป็นลูกหลานชาวยิว สมดังคำพยากรณ์ที่กล่าวไว้เมื่อ 2000 ปีก่อน
คงเหลือคำพยากรณ์อีกข้อเดียวที่ยังไม่เกิดขึ้น นั่นคือ การเสด็จกลับมาขององค์พระเยซูคริสต์
[/COLOR]