valentino
นายแพทย์ อับราฮัม เวอร์กีซ
by
, 20-09-10 at 23:22 (9505 Views)
[COLOR=#1f1000][B] นายแพทย์ อับราฮัม เวอร์กีซ (Abraham Verghese) แรงบันดาลใจจากพระเจ้าในงานเขียน[/B]
อังคาร, 03/30/2010 - 05:46 — boyniwat
คุณหมอผู้ได้แรงบันดาลใจทุกรายละเอียดจากพระเจ้า [COLOR=#c00000]"พระเจ้าอยู่ในทุกรายละเอียด"
พระเจ้าของผมจึงอยู่ทั้งในการไปอบรมการเขียน และการเป็นหมอ" [/COLOR]นัก เขียนเกิดขึ้น ได้ด้วยหัวใจที่แสวงหา ไม่ว่าจะมีอาชีพใด อยู่แห่งหนใด วรรณะไหน หากมีความมุ่งมั่น บุคคลนั้นย่อมพยายามไปสู่จุดหมาย โดยไม่ย่อท้อ
ดังเช่น นาย แพทย์ อับราฮัม เวอร์กีซ (Abraham Verghese) นักเขียนเชื้อสายอินเดีย ซึ่งสวมเสื้อกราวด์สีขาวในฐานะแพทย์ และอีกมือถือปากกาหรือดินสอในฐานะนักเขียน
[IMG]http://www.weareimpact.com/files/news_img_107563_1.jpg[/IMG]อับ ราฮัม มีบิดาและมารดาเป็นชาวอินเดีย เขาเกิดและเติบโตมาในประเทศเอธิโอเปีย ศึกษาแพทยศาสตร์เบื้องต้นที่ประเทศบ้านเกิด จากนั้นไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกาในสาขาวิชาเดิม [COLOR=#bf005f]ผล งานสองเล่มแรกเป็นบันทึกความทรงจำ My Own Country : A Doctor's Story (1994) ติด 1 ใน 5 หนังสือดีที่สุดแห่งปีของนิตยสารไทมส์ และมิร่า แนร์ [/COLOR]ผู้ กำกับหญิงชาวอินเดียนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ ผลงานเล่มต่อมาคือ The Tennis Partner : A Story of Friendship and Loss (1998) ส่วน Cutting for Stone เป็นผลงานนวนิยายเล่มแรกที่ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2009 ปัจจุบันอับราฮัมเป็นอาจารย์สอนนักศึกษาแพทย์ ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา
หนังสือสองเล่มก่อนหน้าที่คุณเขียนเป็นสารคดี และคุณก็พูดเองว่าตัวเองเป็นนักเขียนนวนิยายตั้งแต่แรก ตอนนี้เป็นมายังไง?
ผมหลงรักการเขียนนวนิยายมาแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว โดโรธี อัลลิสัน ให้คำจำกัดความของนวนิยายเอาไว้ว่า การโกหกตัวเอ้ที่เผยให้ผู้อ่านได้รู้เรื่องจริงบนโลก นี่จึงเป็นที่มาว่าทำไมผมสอนนักศึกษาแพทย์ด้วยการให้พวกเขาอ่าน The Death of Ivan Ilych งานเขียนของตอลสตอย เพื่อให้พวกเขาเข้าใจชีวิตและ Bastard out of Carolina เพื่อช่วยให้นักเรียนเข้าใจเรื่องการกระทำทารุณเด็ก ตำราเรียนให้ความจริงและความเข้าใจแก่พวกนักศึกษาในอีกรูปแบบหนึ่ง
แต่การเข้าใจผ่านนวนิยาย หรือเรื่องแต่งก็พาพวกเขาไปสู่จุดหมายเช่นกัน เรื่องสั้นเรื่องแรกของผมที่ได้ตีพิมพ์คือ "Lilacs" ตัวเอกติดเชื้อเอชไอวี ตีพิมพ์ใน The New Yorker เมื่อปี 1991 เรื่องสั้นเรื่องนี้มีส่วนผลักดันให้ผมเขียน My Own Country บันทึกความทรงจำกับช่วงเวลาหลายปี ที่ได้ดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ชนบทของ เทนเนสซี ระหว่างเขียนงานเล่มนี้ ผมค้นพบตัวตนว่าผมมีชีวิตอยู่ท่ามกลาง ความทุกข์และความสูญเสียของเพื่อนร่วม โลก จึงกลายเป็นที่มาของสารคดีเล่มที่สอง The Tennis Partner พอเขียนเล่มนี้จบ ผมก็ตั้งใจจะเขียนงานเล่มที่สามในรูปแบบนวนิยาย
[IMG]http://www.weareimpact.com/files/images/news_img_107563_3.jpg[/IMG]
ปี 1990 คุณไปเรียนด้านการเขียนที่ไอโอว่าอะไรกัน ที่ทำให้คุณตัดสินใจเรียนการเขียน ทั้งที่คุณเองกำลังจะประสบความสำเร็จด้านอาชีพแพทย์ ?
ตอนนั้นผมอยู่ที่จอห์นสันซิตี้ เทนเนสซี และฝึกงานอยู่ในโรงเรียนแพทย์ขนาดเล็ก ช่วงปี 1985, 1990 ผมได้เจอผู้ป่วยเอดส์จำนวนมาก และเป็นโรคที่น่ากลัว ผมไม่เคยเจอโรคนี้ในชุมชนเล็กๆ มาก่อน ผมได้ใกล้ชิดกับผู้ป่วยจำนวน 100 คนในทันทีที่อยู่ในเมืองซึ่งมีประชากรราว 5 หมื่นคน เหมือนที่ผมเขียนไว้ใน My Own Country มันเป็นช่วงที่เครียด เสียใจ หัวใจสลาย พวกเราไม่มีแม้แต่นักบำบัดที่แท้จริง และหลายคนก็อคติและรังเกียจผู้ติดเชื้อ แต่ความกล้าและอยากเป็นวีรบุรุษมีมากกว่า ที่แม้ไม่มียารักษา
แต่ผมก็เริ่มออกไปพบผู้ป่วยตามบ้าน ทำให้ผมรู้ว่า ในยามที่ผมไม่มีอะไรจะเยียวยาพวกเขา แต่ผมก็มีทุกอย่างที่จะให้พวกเขาได้ มันต่างกันมากระหว่างการรักษาและความเอาใจใส่ ซึ่งอย่างแรกเป็นสิ่งที่ชาวตะวันตกเป็น ผมรู้ว่าผมเยียวยาผู้ป่วยได้ แต่ผมแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้ ผมหมายความว่าความสนใจ และการให้กำลังใจจะช่วยให้ผู้ป่วย และครอบครัวของเขา ติดเชื้อและตายในที่สุดอยู่ดี แต่ปีที่ห้าที่ผมได้ทำแบบนี้ ด้วยวิธีการช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ มันทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ถ้าผมต้องการอยู่ให้ได้เพื่อต่อต้านสงครามเอดส์ และผมต้องทำให้ได้ด้วยตัวเองเพื่อหยุดมัน
ผมเริ่มเขียนเรื่องสั้นหลายเรื่องและบทความมากมาย ตอนที่เสียสติไปกับสิ่งตึงเครียดในแต่ละวัน ผมจึงตัดสินใจสมัครเรียนการเขียนที่ไอโอวา โดยส่งเรื่องไปสองเรื่อง ถ้าเขาเลือกผม ผมจะไปเรียน ถ้าไม่ ผมก็จะหยุดตัวเองกับการเขียน และทำงานเลี้ยงครอบครัวด้วยการอยู่ในห้องฉุกเฉิน ในที่สุดเขารับและผมก็ไปเรียน ผมรู้ว่าผมเห็นแก่ตัว ถ้าผมมองย้อนกลับมายังภรรยาและลูกเล็กๆ อีกสองคน แต่ผมก็ต้องการสั่งสม และผมคงต้องอกระเบิดแน่ถ้ายังต้องทำงานแบบเดิม
พอไปที่ไอโอวา ผมก็ทำงานในคลินิกเอดส์ของมหาวิทยาลัยสัปดาห์ละครั้ง ทำให้ผมมีเวลาในการอ่านและเขียน เป็นเวลาอันล้ำค่ามาก ผมไม่เคยคิดว่าผมจะมีเวลาแบบนี้ด้วยซ้ำไป ผมจึงตั้งใจกับการเรียนเขียน และเมื่อจบออกมาผมก็ต้องการทำงานแบบเดิม และไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเขียน เพราะผมต่างหากคือผู้ที่กุมและจัดการเวลา ไม่ใช่อาชีพประจำที่ผมทำอยู่เป็นอุปสรรค
[IMG]http://www.weareimpact.com/files/images/news_img_107563_2.jpg[/IMG]
อะไรที่ทำให้คุณตัดสินใจเขียน Cutting for Stone ?
[URL="http://www.bangkokbiznews.com/"][/URL]
[/COLOR]