JanzA
ดูไบ เที่ยวไปในเมืองทะเลทราย ตอนที่ 2 (จบแว้ว)
by
, 08-03-10 at 13:58 (14645 Views)
วันที่ 4 นอนกลิ้งในโรงแรม + Dinner เล็กๆ
วันนี้เวลาช่วงเช้าของ JanzA หายไป!!! 555 เป็นเพราะฤทธิ์ยาแก้หวัดเมื่อคืนแน่แท้ ตื่นอีกทีตอนเย็นเลยค่ะ ตื่นเพราะเฮียโทรมาบอกว่ากำลังจะถึงโรงแรมแล้ว (เฮียออกไปประชุมตั้งแต่เช้า) แถมเฮียกลับมากับลูกค้าด้วย
มื้อนี้อาศัยห้องอาหารอิตาเลียนของโรงแรมนี่แหละ
พนักงานที่โรงแรม ส่วนใหญ่จะเป็นคนฟิลิปปินส์ ลูกค้าเฮียเล่าให้ฟังว่าคนฟิลิปปินส์มาทำงานด้านบริการที่นี่เยอะแล้วก็ได้เปรียบตรงภาษา (พนักงานที่ฟรอนท์ พนักงานเสิร์ฟบนเรือ พนักงานที่โรงแรมก็เป็นฟิลิปปินส์) แต่ถ้าเป็นคนขับแท็กซี่ ส่วนใหญ่จะเป็นปากีสถาน ศรีลังกาหรืออินเดีย เรียกได้ว่าแบ่งงานกันชัดเจน แต่ JanzA ยังไม่เจอพนักงานคนไทยเลย ไม่แน่ใจว่าทำงานสายไหนกันบ้าง (แต่เจอกรุ๊ปข้าราชการไทยที่โรงแรม แอบเห็นหนังสือตราครุฑวางอยู่ แล้วบนโต๊ะอาหารก็มีน้ำพริก ซีอิ๊ว ผักกาดกระป๋องวางอยู่ - อยากขอเข้าไปแจมด้วยจัง) ^^
เท่าที่ดู UAE เป็นประเทศที่ตอนนี้มีประชากรจากทั่วทุกมุมโลกมาทำงานขนาดบรรดาลูกค้าของเฮีย ยังประกอบไปด้วยฟิลิปปินส์ ศรีลังกา (ส่วนอีกคนจำไม่ได้ว่าชาติอะไร) บางคนก็อพยพครอบครัวมาอยู่ที่นี่เลย
คนที่นี่ดินเนอร์กันเร็วแฮะ พอทุ่มนึงก็แยกย้ายกันกลับ JanzA ก็นอนต่อได้อีก555 ส่วนเฮียก็เตรียมงานประชุมวันรุ่งขึ้น เลยอดไปลั้ลลาเริงราตรีกะเค้าบ้าง
วันที่ 5 Burjuman & Al Qasr Hotel
วันนี้จัดการกับอาหารเช้าแล้วก็แยกย้าย เฮียไปประชุม ส่วน JanzA นั่งแท็กซี่ไปห้างที่ใกล้โรงแรมมากที่สุดคือ Burjuman หายใจ 3 เฮือกก็ถึงแล้ว เดินที่นี่เหมือนเดินอยู่เกสร ร้านรวงเยอะแต่ไม่ใหญ่เท่า Mall of Emirates หรือ Dubai Mall ขากลับมีเรื่องปล่อยไก่ตรงที่ เรียกแท็กซี่ธรรมดากลับ มิเตอร์จะเริ่มตั้งแต่ 3.5 DH ไปถึงโรงแรมราคา 5.5 DH เลยให้เค้าไป 10 DH แล้วบอกว่าไม่ต้องทอน แต่คุณคนขับชี้ป้ายให้ดูว่า minimum 10 DH แถมบ่นพึมพำใส่อีก - หงะแหมบอกกันดีๆก็ไม่ได้ ป้ายบอกก็ตัวกะจิ๊ดริด เบาะบังมิดเลย TT วันหลังจะขึ้นแท็กซี่ที่ดูไบ มองหาป้าย minimum charge ด้วยนะคะ เดี๋ยวจะปล่อยไก่เหมือนกัน
ถึงโรงแรมก็เปลี่ยนเสื้อผ้าไปงาน เป็นงานของนิตยสาร PAx พวกเราจับ Limo ไปโรงแรม Al Qasr แถว Madinat Jumeirah โอ๊ะโอ โรงแรมไฮโซมาก เกิน 5 ดาวไปแล้ว
ช่วงที่ไปเป็นช่วงที่มี golf tournament ที่ดูไบ เจอแมคกิลลอยที่นี่ด้วย แต่ไม่กล้าวิ่งไปขอถ่ายรูปเพราะไม่เห็นมีแขกในโรงแรมจะตื่นเต้นที่เห็นเค้าเลย
โรงแรมเด่นตรงที่มีคลองอยู่ในโรงแรม ให้แขกนั่งเรือไปที่พัก (จริงๆเดินไปก็ได้) JanzA มีโอกาสนั่งเรือ Abra ซึ่งเป็นเรือดั้งเดิมของที่นี่ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่เวนิสได้เหมือนกัน มุมที่จัดงานเป็นบริเวณชายหาด มองเห็นโรงแรมเรือใบพอดี เห็นโรงแรมเรือใบอยู่ลิบๆ และขอปิดท้ายวันด้วยบรรยากาศในงาน
วันที่ 6 Madinat Jumeirah & Desert Safari
วันนี้ตื่นเช้า ทานข้าวเสร็จปั๊บก็จับ Limo ไป Madinat Jumeirah เลย ซึ่งก็คือตลาดในร่มที่อยู่ใกล้กับโรงแรมที่มาเมื่อคืนแหละ มาดินาทจูไมราห์เป็นตลาดในร่ม ติดแอร์ ขายของพื้นเมือง แล้วก็มีร้านอาหาร ร้านกาแฟน่ารักๆ จุดขายของที่นี่เป็นการจำลองบรรยากาศเวนิสไว้ (ซึ่งก็คล้ายๆกับโรงแรมเมื่อวาน) JanzA เลยมีโอกาสได้ถ่ายรูปบรรยากาศตอนกลางวันมา สวยดีค่ะ มานั่งสบายๆ ลมเย็นๆ เลยแอบงีบไปเลย
ถ้ามีโอกาสมาดูไบ อย่าพลาดที่นี่ ขอแนะนำเลยค่ะ เรือมีไว้บริการด้วยนะคะ คิดรอบละเท่าไหร่ JanzA ก็ลืมจำมาบอก
นี่ไง หน้าตาของเรือ Abra ที่มีโอกาสได้นั่งเมื่อคืน คนขับเรือจะนั่งอยู่กลางลำ แล้วผู้โดยสารนั่งรายล้อม ก็แปลกไปอีกแบบ
และที่นี่ยังเป็นที่ๆหามุมถ่ายรูปสวยๆได้เยอะเลยค่ะ ไม่เสียค่าเข้าชมอีกตะหาก
นั่งเล่นอยู่ถึงบ่ายสองก็รีบกลับโรงแรมเพราะนัดทัวร์ไว้ จะไป Desert Safari ทัวร์นัดไว้บ่ายสาม ต้องรีบไปเพราะช่วงนี้พระอาทิตย์ตกไว จากโรงแรมก็แวะรับ 2 แม่ลูกชาวเยอรมันร่วมทริปกับเราด้วย ใช้เวลาออกจากเมืองร่วมชั่วโมง ไกลเหมือนกันค่ะ แล้วก็แวะปล่อยลมยางเพื่อให้ล้อมันเกาะกับทรายดีขึ้นแล้วเราก็ลุย - - - ขอแนะนำสำหรับคนที่มาเที่ยวแบบนี้ว่าให้เตรียมน้ำเปล่า (ไว้กินและล้างเท้า) ใส่รองเท้าที่ถอดง่ายๆ แล้วก็อย่าเพิ่งทานอะไรก่อนมาทะเลทรายสัก 3-4 ชั่วโมง หรือถ้าเพิ่งทานอิ่มมาก็กรุณาเตรียมถุงเผื่ออาเจียนไว้ด้วย และทริปนี้ไม่เหมาะกับคนเมารถเป็นอย่างยิ่ง
แบบว่า มันโยกไปโยกมา หัวสั่นหัวคลอน หวาดเสียวเป็นที่สุด
วนอยู่ได้ซัก 30 นาที รถก็จอดให้ถ่ายรูป ทรายที่นี่ละเอียดจริงๆนะ นุ่มเท้ามั่กๆ - เค้าว่ากันว่าทรายในแต่ละรัฐของ UAE จะสีไม่เหมือนกัน - JanzA เพิ่งจะเห็นทรายที่ดูไบอย่างเดียว ส่วนของรัฐอื่น ถ้ามีโอกาสจะลองมาเปรียบเทียบดู
เดินไม่ดีมีกลิ้งลงมานะเออ!!
อยู่จนพระอาทิตย์ตกดิน สวยจัง อากาศตอนกลางวันกลางทะเลทรายจะร้อนมาก ส่วนตอนกลางคืนก็หนาวมากๆ โชคดีที่พกเสื้อหนาวมาด้วย
รถก็กลับไปยังจุดพัก ไปเติมลมยาง แล้วก็แวะให้พวกเราได้เข้าห้องน้ำ แต่ๆๆๆ แนะนำว่าอย่าเผลอเข้าไปในร้านใดเด็ดขาด JanzA โดนฟันค่าไอศครีมแมกนั่ม 1 แท่งในราคา 50 DH หรือ 500 บาทไทย ไม่ได้บอกว่าจะเอาด้วย แค่ถามว่าเท่าไหร่แล้วเค้าก็แกะแล้วยัดใส่มือเราเลย เหอเหอ แถมตอนจะออก ยังยัดเยียดหมวกพื้นเมืองกับเสื้อ ตรงจุดนี้หงุดหงิดมากมายเพราะเข้ามาโอบเราแล้วพยายามจะใส่เสื้อให้ เค้าอาจทำกับฝรั่งจนเคย แต่วัฒนธรรมไทยยังคงรับไม่ได้ที่จะให้คนแปลกหน้ามาโดนตัว พอเค้าใส่หมวกให้เสร็จก็พยายามดึงไปหลังร้านเพื่อไปส่องกระจก โชคดีที่เฮียลากตัวออกมาได้ (แล้วก่อนหน้านั้นเฮียหายไปหนาย)
TT พอกระโดดขึ้นรถได้ก็รู้สึกโล่งไปเปราะหนึ่ง รถก็พาเรามุ่งหน้าไปแคมป์เพื่อไปกินอาหารเย็น รถวิ่งอยู่บนถนนผ่ากลางทะเลทรายกว่า 2 ชั่วโมง ไม่มีไฟถนน ไม่มีรถสวนทาง รู้สึกระทึกมาก แอบคิดอยู่ในใจว่าเค้าจะพาเรามาฆ่ารึป่าว ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีประดังเข้ามา เหมือนคนที่ใกล้จะตายแล้วสำนึกผิดได้ว่าเคยทำอะไรไม่ดีมาบ้าง และมีอะไรในชีวิตที่ยังไม่ได้ทำบ้าง (อยากให้นึกภาพตามว่ารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกลวงไปฆ่าเลย) น้ำตาเริ่มไหล คิดถึงปาป๊ามาม้า คิดถึงน้องๆ ในรถก็เงียบกันหมด (เดาว่าคนอื่นก็คิดเหมือนกันแต่ไม่กล้าพูด)
.
.
.
.
หลังจากนั่งเงียบอยู่บนรถจนได้ยินแต่เสียงหายใจ ในที่สุดก็เห็นแสงไฟลิบๆ ดีใจมากค่ะ น้ำตาไหลอีกรอบ รอดแล้วกรู กร๊ากกกกก
อาหารที่แคมป์ฟรีทุกอย่างยกเว้นเบียร์ จะลองสูบชิชาก็ได้ หรือลองเพ้นท์เฮนน่า ใส่ชุดประจำชาติ มีโชว์เบลลี่แดนซ์
ใช้เวลาในแคมป์ประมาณชั่วโมงกว่าๆ รถก็พาเรากลับไปส่งโรงแรม เป็นการผจญภัยที่ระทึกจริงๆนะ คืนนั้นก็รีบแพ็คของเตรียมกลับบ้านเพราะไฟล์ทออกแต่เช้า ต้องเช็คเอาท์ตั้งแต่ตี 5 เฮ้ออออ กลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพค่ะ
PS. การรีวิวคราวนี้รายละเอียดอาจจะขาดตกบกพร่องไปบ้างเพราะดองไว้ 4 เดือนแล้ว ขอบคุณที่แวะเวียนเข้ามาอ่านกันนะคะ ที่ทำบล็อคแบบไม่ให้คอมเมนท์ก็เพราะไม่ค่อยว่างเข้ามาตอบคอมเมนท์เท่าไหร่ แต่เอาเป็นว่าทุก pageview ที่เพิ่มขึ้น และบางทีก็เห็นรายชื่อคนที่เข้ามาอ่านก็เป็นกำลังใจให้คนทำบล็อคแล้วนะคะ ^^
ขอบคุณทุกๆคนที่แวะเวียนเข้ามาค่ะ ถ้าใครอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมก็ pm มาได้เลยค่ะ น่าจะไวกว่าเนอะ