คุณไม่ได้แค่สวมรองเท้าคู่นี้ แต่คุณสวม 'ICON' ของรองเท้าทุกคู่บนโลก
Eddy ของตั้งชื่อรองเท้าคู่นี้ว่า 'Gucci ICON Shoe'
จำไว้ว่า หากคุณสวมรองเท้า Gucci คู่นี้.... คุณไม่ใช่เป็นผู้นำแฟชั่น แต่คุณเป็นอะไรที่เหนือกว่า ....
คุณ ไม่ได้เป็นเพียง Trendsetter เพราะคุณคือ เป็น 'ICON'
นี่ไม่ใช่เพียงรองเท้า แต่มันเป็น 'ICON' ของรองเท้า
กว่ารองเท้า Gucci คู่นี้จะผลิตได้ มันเป็นการผสมผสานทั้งงานศิลปะ และเทคโนโลยีไฮเทคระดับโลกได้
อย่างไร???
เรื่องเล่าจากการไปเยือนโรงงานทำรองเท้า Gucci ที่ Florence Italy โดย Fashion editor ของนิตยสารอันดับโลก :
หากคุณไป บริเวณชานเมืองของ Florence ของ Italy อันเป็นต้นกำเนิดของแบรนด์ Gucci อันโด่งดังไปทั่วโลกแล้ว อาคารทีมีลักษณะเป็นกล่องๆ ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ช่วงบูมของอุตสาหกรรมการในอิตาลี หลังสงครามโลกเมื่อ ทศวรรษ 1950 เพืื่อยังคงในความเป็นประวัติศาสตร์ตั้งแต่ โรงงานของกุชชี่ที่ตั้งแต่สมัยนั้น อาคารจึงดูเป็นอาคารที่ดูครึมๆ เก่าๆ เหมือนสมัยสงครามโลก หากแต่ถ้าคุณเข้าไปในตัวโรงงานแล้ว มันกลายเป็นคนละเรื่องเลย! เครื่องจักร อุปกรณ์ที่ใช้ในโรงงานผลิตรองเท้า Gucci loafer ที่เห็นเบื้องหน้า ณ ขณะนี้ ถือว่าเป็นที่สุดและยอดเยี่ยมแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว! มิแปลกใจที่รองเท้า Gucci loafer จะถูกจัดว่าเป็น รองเท้าที่เป็น ICON ของ Gucci ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลก
หาก ใครเข้้าไปในโรงงานแห่งนี้โดยไม่ทราบมาก่อนว่าเป็นโรงงานทำรองเท้าจาก hand made ล้วนๆ จากฝีมือมนุษย์ระดับโลกอยู่ จะพลันนึกไปว่า นี่คือโรงงานสร้างอุปกรณ์ไฮเทคอย่างเช่น เซมิ คอนดักเตอร์ หรือ อุปกรณ์ที่ทันสมัยที่สุดในโลกอยู่ ช่องว่างที่ถูกจัดเรียงอย่างปราณีต ไร้ที่ติ ทั้งดูสว่าง และสะอาด ท่ามกลาง เครื่องจักรอุปกรณ์ ที่วางตัวตามแบบ สายงานการผลิต
นับว่าเป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัวอย่างมาก ระหว่าง
1. เครื่องจักรไฮเทค เทคโนโลยีระดับสูง และ
2. ผ่านกล่อง เครื่องมือในการทำรองเท้าแบบดังเดิมที่บรรจุ ไม่ว่าจะเป็น ด้าย เข็ม หรือ ที่ตัดหนัง ที่สืบสานต่อกันมาเป็น 100 ปี เพื่อสะท้อนให้เห็นคู่กับ งานฝีมือที่เป็น hand-made จากช่างทำรองเท้าชาว อิตาลีที่จัดว่าเป็นอันดับ 1 ของโลก
อาจพูดได้ว่า ช่องว่างระหว่างโลกสมัยเก่าและใหม่ถูกเชื่อมต่อเข้าด้วยกันผ่านการแต่งกาย ของช่างทำรองเท้า ช่างแต่ละคนสวมเสื้อห้องแล็บสีขาวกับผ้ากันเปื้อนหนังดำขำอย่างสวยงามในทาง ที่มีเสน่ห์ในแนวทางของคนอิตาเลียน ช่างอิตาเลียนจะนั่งบนเก้าอีทำรองเท้าไม้และประคองหนังกับทรงของรองเท้า loafer โดยมือ ใช้เล็บค่อยๆจัดวาง และฆ้อนเพื่อตอกให้ได้ตามขนาดของรองเท้าแต่ละ size เชืือ่ไหมว่า อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำรองเท้าแต่ละชิ้นจะต้องมี ที่มัดหนังสลักอักษร 'Gucci' เพื่อให้แน่ใจว่าอุปกรณ์เหล่านั้นถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบในกล่อง อุปกรณ์ใส่รองเท้า หากมองไปรอบๆที่โรงงานกุชชี่ ณขณะนี้ คุณจะนึกถึง อิตาลีสมัยยุค 60 อันเป้นยุคเฟื่องฟู ของ Italy ยุค Italian Renaissance (ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาอิตาลี)
อย่างที่บอก อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำรองเท้าแต่ละชิ้นจะต้องมี ที่มัดหนังสลักอักษร 'Gucci' เพื่อให้แน่ใจว่าอุปกรณ์เหล่านั้นถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบในกล่อง อุปกรณ์ใส่รองเท้า
ช่าง อิตาเลียนจะนั่งบนเก้าอีทำรองเท้าไม้และประคองหนังกับทรงของรองเท้า loafer โดยมือ ใช้เล็บค่อยๆจัดวาง และฆ้อนเพื่อตอกให้ได้ตามขนาดของรองเท้าแต่ละ size
ช่างแต่ละคนสวมเสื้อห้องแล็บสีขาวกับผ้ากันเปื้อนหนังแท้สีเนื้อคลับมัน อย่างสวยงาม ในทางที่มีเสน่ห์ในแนวทางของคนอิตาเลียน เพิ่มเติมด้วยสายคล้องคอด้วยสาย เขียว-แดง อันเป็น signature
การผสมผสานกันอย่าลงตัวของ โลกสมัยใหม่ผ่านเครื่องจักรที่ให้ความแม่นยำระดับโลก และ งาน hand-made อันเป็นงานจากมือมนุษย์ล้วนๆ ผ่านช่างฝีมืออันดับ 1 ของโลกจากอิตาลี
ผ้ากันเปื้อนแต่เป็นหนังแท้สีเนื้อคลับมันอย่างสวยงาม มีที่คาดเอว เขียว-แดง อันเป็น signature ของ Gucci
(ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาของอิตาลีเริ่มในทัสเคนีโดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ฟลอเรนซ์ และเซียนา และต่อมาในเวนิสที่มีผลเป็นอันมาก เพราะงานต่างๆ ของกรีกโบราณถูกนำไปรวบรวมไว้ที่เวนิสซึ่งทำให้กลายเป็นแหล่งความรู้ต่างๆ ที่ใหม่ๆ ให้แก่นักมนุษยนิยม ผู้คงแก่เรียนในเวนิสในขณะนั้น ต่อมาปรัชญาฟื้นฟูศิลปวิทยาก็มามีอิทธิพลในกรุงโรม ที่ทำให้เกิดการสร้างสิ่งก่อสร้างใหม่ๆ มากมายที่ส่วนใหญ่โดยการอุปถัมภ์ของพระสันตปาปาในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาของอิตาลีรุ่งเรืองที่สุดในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 หลังจากนั้นก็ลดถอยลงหลังจากการรุกรานจากต่างประเทศที่ก่อให้สงครามในอิตาลี แต่การฟื้นฟูศิลปวิทยาของอิตาลีก็มิได้หยุดนิ่งลงแต่เผยแพร่ไปทั่วยุโรปและ เริ่มยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาตอนเหนือของยุโรปและยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาอังกฤษและ ประเทศอื่นๆ ในยุโรป)
จาก นั้นหลังจากการเย็บรองเท้าส่วนบนด้วยช่างฝีมือ แล้วเสร็จ ก้จะเข้าสู่กระบวนการการย้อมสีหนังโดยสีจากธรรมชาติเท่านั้น โดยกระบวนการทำสีจะผ่านขั้นตอนการย้อมและอบแห้ง ซ้ำไป-มาหลายซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อให้แน่ใจว่าสีของรองเท้าจะสวยงดงามเข้มข้น และสีจะติดทนทาน
อีก ครั้งที่สร้างความประทับใจแก่ผู้เยี่ยมเยียน เพาะช่างย้อมสีรองเท้า จะสวมถุงมือในสภาพที่เตรียมพร้อมและดูจะท่าทางการย้อมอย่างง่ายดายก็เดาได้ ว่ามันมาจากการสั่งสมประสบการณ์นับเป็นสิบปี ยิ่งกระบวนการดูคล่องแคล่วมากเท่าไรนั่นยิ่งแสดงให้เห็นว่าหากคนไม่มี ประสบการณ์มาทำมันจะยิ่งยากขึ้นเท่านั้น
หลัง จากรองเท้าแต่ละคู่ผ่านกระบวนการขึ้นรูปและทำสีแล้ว มันก็จะเข้าสู่กระบวนการทำส้นรองเท้า และขั้นตอนการตกแต่งขั้นสุดท้ายที่ต้องผ่านการทำ layer อีกหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการทำสี, อบแห้ง หรือขัด ซึ่งจะทำโดยช่างฝีมือล้วนๆ ซึ่งการตกแต่งขั้นสุดท้ายจะดูได้จากการติด hard ware ในตัวรองเท้า (หากต้องมี)
รองเท้าที่ผ่านกระบวนเสร็จเรียบร้อยแล้วจะถูกบรรจุแล้วขึ้นอย่างประณีตและรอ การส่งมอบไปยังที่จัดเก็บหรือลูกค้าโดยตรง กระบวน การในการทำรองเท้าหนังของกุชชี่จัดว่าเป็นหนึ่งในกระบวนการที่สวยงามที่สม บรูณ์แบบและได้รับการยอมรับในงานฝีมือชั้นสูง อย่างไม่ต้องสงสย
งานช่างฝีมือ had-made ระดับช่างอิตาลี ในอาคารง่ายๆนอกเมืองฟลอเรนซ์ จัดว่าเป็นการผสมผสานที่เป็นเอกลักษณ์ ของประสบการณ์ + เทคโนโลยี + ทักษะที่ผ่านการสั่งสมและพัฒนาผ่านยุคสมัย รุ่นสู่รุ่น นี่เองที่ทำให้รองเท้าของ Gucci จัดว่าเป็น 'ICON'
(ขอบคุณบทความดีจากนิตยสารชั้นนำของโลกที่ทำให้เราเข้าใจคำว่า 'ICON' ของรองเท้าคืออะไร?)
-->กล่องสีทองอร่ามที่ปลอมยังไงก็ไม่เหมือน
-->รวมทั้ง ตัวอักษร GUCCI ดิ้นทองหน้ากล่อง ที่ปราศจากข้อกังขา
-->ถ่ายให้เห็น product code ข้างกล่องให้เห็นกันจะๆ ว่า font เป๊ะ-->อีก ทั้ง วัสดุกันความชื้นที่อยู่ในถุงสีทองอร้าอร่าม ปราณีตสุดๆ บอกบรรยายว่า ข้างในมันเป็นสารกันความชื้น และใช้ 3 ภาษา อังกฤษ อิตาลี ฝรั่งเศส! เห็นไหมว่ามัน เจิดขนาดหนายย
คุณไม่ได้แค่สวมรองเท้าคู่นี้ แต่คุณสวม 'ICON' ของรองเท้าทุกคู่บนโลก